วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน by โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท





เดือนตุลาคม - ปลายเดือนพฤศจิกายน 
คู่บ่าว สาว แต่งงานกันเยอะมากเลยนะคะ 
หลายคู่อาจเตรียมแผนฮันนีมูนกันในช่วงหน้าหนาว
บรรยากาศเป็นใจมากๆ 

นอกเหนือจากการวางแผนเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะจัดหาสถานที่ พิมพ์การ์ดแต่งงาน ตระเวนเชิญแขก เตรียมชุดวิวาห์แล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้เลย นั่นก็คือ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เพราะเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ไว้วางใจกันและกันไม่ได้เลย เนื่องจากเชื้อโรคที่เป็นพาหะต่าง ๆ อาจแอบแฝงอยู่ในร่างกาย แม้คุณและคู่จะไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงก็ตาม อีกทั้งการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้น วัตถุประสงค์หลักมักทำเพื่อป้องกันการติดโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากคู่สมรส และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ลูก ซึ่งมีพ่อแม่บางคนอาจจะเป็นพาหะนำโรคโดยที่ไม่รู้ตัว

ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทพร้อมให้บริการ
ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานสำหรับคู่บ่าวสาว

รายการตรวจเจ้าสาว

ตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical Examination)
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
ตรวจวัดขนาดเม็ดเลือดแดง (MCV)
ตรวจหาหมู่เลือด (Blood Group : ABO, RH)
ตรวจหากามโรค (VDRL)
ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg)
ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ บี (HbsAb)
ตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย (DCIP)
ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน
ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti-HIV (STAT)
ราคา 2,600 บาท

รายการตรวจเจ้าบ่าว

ตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical Examination)
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
ตรวจวัดขนาดเม็ดเลือดแดง (MCV)
ตรวจหาหมู่เลือด (Blood Group : ABO, RH)
ตรวจหากามโรค (VDRL)
ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg)
ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ บี (HbsAb)
ตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย (DCIP)
ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti-HIV (STAT)
ราคาพิเศษ 1,800 บาท

พิเศษ!

ตรวจเป็นคู่เพียง 4,000 บาท

โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
www.kluaynamthai.com
#ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน #แต่งงาน #แต่งงานต้องทำอะไรบ้าง

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อยู่ห้องแอร์ ปวดปัสสาวะบ่อย ผิดปกติหรือไม่? by โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท


เวลาอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ นาน ๆ รู้สึกไหมว่าตัวเองลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยมาก ปวดกันทุกชั่วโมงเลย ทั้ง ๆ ที่ดื่มน้ำปกติ 

เอ!! แบบนี้ร่างกายเราผิดปกติหรือเปล่านะ แล้วต้องไปตรวจหรือเปล่า 

สำหรับอาการปัสสาวะบ่อยนั้นเป็นกลุ่มอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เช่น 1-2 ครั้งต่อชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ หรือการรับประทานเครื่องดื่มบางประเภท

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้มีการสั่งงานให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกว่าปวดปัสสาวะ

ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย ได้แก่
1 การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
2 เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
3 โรคเบาหวาน
4 โรคเบาจืด
5 การผ่าตัดอุ้งเชิงกราน

สำหรับอาการที่ปวดปัสสาวะบ่อยเวลาอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ นั้น น่าจะเกิดจากความเย็นกระตุ้นทำให้ปัสสาวะบ่อยได้ อาจจะลองสังเกตง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่ได้อยู่ในที่เย็นแล้วยังมีอาการดังกล่าวหรือไม่ ถ้ายังมีอาการดังกล่าวอยู่หรือมีอาการร่วมอย่างอื่น เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
02-7692000
www.kluaynamthai.com

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปัญหาโรคตาที่มีสาเหตุจากการใช้คอมพิวเตอร์


จักษุแพทย์ห่วงสังคมก้มหน้า ส่งผลให้ดวงตาโดนทำลายโดยไม่รู้ตัว เตือนการเพ่งจอเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมทำร้ายเซลล์ตา และมีปัญหาโรคทางสายตาก่อนวัยอันควร แนะพักสายตาทุกๆ 30 นาที และเสริมผัก-ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยถนอมสายตา
ดวงตานับเป็น 1 ในประสาทสัมผัสทั้งห้าที่สำคัญ เป็นอวัยวะที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ การสังเกต และการจดจำ รวมทั้งเป็นส่วนที่สามารถสื่อสารความรู้สึกต่างๆ ไปถึงคนรอบข้างได้อีกด้วย แต่กลับเป็นอวัยวะที่มักจะถูกมองข้ามไป จนไม่ได้รับการดูแล เอาใจใส่ให้มีสุขภาพที่ดี จนกระทั่งเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุคดิจิตอล ที่การสื่อสารสามารถทำได้ง่ายมากเพียงปลายนิ้วในทุกที่ทุกเวลา ยิ่งทำให้ดวงตารับบทหนักต้องเพ่ง ต้องจ้องหน้าจอต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ประจำปี 2014 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์ในปี 2557 เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน (หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของวันเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต) ขณะปี 2556 มีตัวเลขการใช้งานอินเตอร์เน็ตโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 4.6 ชั่วโมงต่อวัน

สอดคล้องกับข้อมูลการใช้โซเซียลมีเดีย และสมาร์ทโฟน ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเฟสบุ๊คของคนไทยที่มีมากถึง 28 ล้านราย คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 53 เช่นเดียวกับยอดผู้ใช้ LINE คนไทยติดเป็นอันดับ 2 ของโลก ทะลุ 24 ล้านคน ส่วนอัตรการใช้มือถือ พบว่าชาวไทยกว่าร้อยละ 85 ติดมือถืออย่างหนักจนขาดไม่ได้ ยังไม่รวมถึงการใช้จอคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงาน และการดูทีวี ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาถูกทำลายโดยไม่รู้ตัว

นพ. พิษณุ พงษ์สุวรรณ จักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่าคนไทยมีปัญหาโรคตาที่มีสาเหตุจากการใช้คอมพิวเตอร์ และจอต่างๆเพิ่มมากขึ้นทุกปี ผลพวงจากความสะดวก และความทันสมัยของการสื่อสารในปัจจุบัน ทำให้เราเสพติดการสื่อสาร ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เราก็มันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์บอกเพื่อนผ่านโปรแกรมแชท และผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอยู่เสมอจนติดเป็นนิสัย จนทำให้เราลืมไปว่าดวงตาของเรากำลังถูกใช้งานอย่างหนักเกินความจำเป็น เพราะการมองหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจอสมาร์ทโฟน จอแทปเล็ต จอคอมพิวเตอร์ และจอโทรทัศน์ ตลอดเวลา และติดต่อกันเป็นเวลานาน ดวงตาของเราจะต้องเจอกับแสงจ้าจากหน้าจอดังกล่าว เกิดอนุมูลอิสระสะสม จนอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาของเราได้ เช่น อาจจะเกิดการระคายเคือง น้ำตาไหล ตาแห้ง ตาอักเสบ เกิดสายตาพร่ามัว จากกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า มีอาการมองเห็นภาพซ้อน รวมถึงอาการแพ้แสง จนมีการจัดกลุ่มอาการต่างๆนี้รวมกันเรียกว่า โรคคอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม ซึ่งนอกจากตาแล้วยังทำให้มีอาการปวดศีรษะ บ่า และคอร่วมด้วย

เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อดวงตาเกิดความผิดปกติแล้วจะสามารถกลับมามองได้ชัดเหมือนเดิมหรือไม่ เราควรป้องกันการเกิดความผิดปกติต่างๆ กับดวงตา เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ดวงตา เช่น หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ ควรหมั่นพักสายตา 2-3 นาที ต่อการใช้สายตาทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง และกระพริบตาบ่อยๆ 10-15 ครั้งต่อนาที

และควรใช้สายตาในการทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเท่าที่จำเป็น รวมถึงนั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย นอกจากนี้เวลาอยู่ในที่กลางแจ้งที่มีแดดจ้า หรือเวลาขับรถในเวลากลางวันควรใส่แว่นกันแดด เพื่อลดปริมาณแสงแดดเข้าสู่ดวงตาที่นำมาซึ่งความเสื่อม และความผิดปกติของดวงตา

เมื่อเราป้องกันปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกแล้ว เราก็ควรจะบำรุงดวงตาจากภายในด้วยอาหารบำรุงดวงที่มีประโยชน์ควบคู่ไปด้วย เช่น การเลือกผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ สูง ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของดวงตา รวมทั้งช่วยป้องกันความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตา ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระพบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เช่น บิลเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ที่สำคัญที่สุด ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และหากเกิดความผิดปกติของดวงตาควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที

ที่มา : เว็บไซต์ไทยพีอาร์

โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
www.kluaynamthai.com
#จักษุ #ถนอมดวงตา #อันตรายกับดวงตา #ตรวจสายตา

แพ้ยาทำไงดี จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลดีมั้ย?


อาการแสดงออกเมื่อท่านแพ้ยา

อาการแพ้เบื้องต้น อาจมีผื่นคัน หรือมีผื่นแดง จุดแดง
หรือตุ่มใสเล็กๆขี้นทั่วตัว หรือหน้าบวม, ตาบวม, ริมฝีปากบวม คัดจมูก

อาการแพ้ขนาดปานกลาง อาจมีอาการใจสั่นแน่นหน้าอก คลื่นไส้
อาเจียน หรือหายใจขัดคล้ายหืด

อาการแพ้รุนแรง มีอาการเป็นลม ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว
ความดันต่ำ และหยุดหายใจ มักเกิดหลังจากฉีดยาเพนนิซิลิน
หรือเซรุ่ม หรืออาจพบเป็นลักษณะพุพอง หนังเปื่อยลอกทั้งตัว
คล้ายถูกไฟลวก ปากเปื่อย ตาอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ มีไข้

การป้องกันการแพ้ยา

บันทึกชื่อยาที่แพ้ เก็บไว้เป็นประวัติการแพ้ยา ติดตัวอยู่เสมอ
แจ้งแพทย์, เภสัชกร ทุกครั้งถีงประวัติแพ้ยา และประวัติโรค
ภูมิแพ้ ทั้งของตนเองและคนในครอบครัว
สังเกตอาการแพ้ยาที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีอาการให้เรียบหยุดยา
แล้วกลับไปพบแพทย์ที่รักษาทันที

อาการแพ้ยาอาจเกิดได้แม้ว่าผู้ป่วยได้รับยาชนิดนั้นมาก่อน ดังนั้น
ยิ่งใช้ยาบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ พึงระวังการเกิดอาการแพ้มากขึ้น
เท่านั้น

ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็น อย่าคิดเองว่ายาชนิดใกล้เคียงกันจะใช้แทนกันได้ ควรปรึกษาเภสัชหรือพบแพทย์ดีที่สุดค่ะ

โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
www.kluaynamthai.com
#แพ้ยาทำอย่างไร #อาการแพ้ยา

credit:thaihow